บทที่ 4 พลังออร่า
เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า คุณได้อ่านเรื่องการฝึกพลังจิตมาได้สามตอนแล้ว และผมหวังว่า คุณได้ฝึกบ้างแล้วใช่ใหมครับ ผมแนะนำให้คุณฝึกตามไปอย่างเป็นขั้นตอน อย่าใจร้อน เพราะผมจะเขียนบล็อกนี้แบบstep by step ถ้าคุณยังทำแบบฝึกหัดแรกๆไม่ได้ คุณจะทำแบบฝึกหัดหลังๆได้ยากมากขึ้นทุกทีๆครับ
ก่อนจะอ่านบทที่4นี้ คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (psi ball)ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย "การตรวจสอบพลังงานด้วยมือ" วิธีเป็นดังนี้ครับ
1.ทำPSI BALL แรกๆคุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญมากๆแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
2.เปลี่ยนจากผ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขนแล้วสังเกตความรู้สึก
3.เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆบนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
ที่สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงานและการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
เอาล่ะ จบแบบฝึกหัดที่ 4 แล้ว สังเกตว่าในครั้งนี้คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นใหนๆในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า
1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
สนามพลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะๆเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็ก หรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุกคนมี"ความถี่"ของตัวเอง
เวลาที่ความถี่ของใครใกล้ๆกัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ"ต่อติด"ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึง ทางอารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม หรือความหลังเมื่อชาติที่แล้วก็ได้!
ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆคนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ(เอาล่ะ อาจมีคนที่เลวจริงๆอยู่ดี แต่บางคนเราก็ไม่ชอบเพราะออร่ามันขัดกัน ทั้งที่เขาไม่ได้แย่ตรงไหน)
ยังไงก็เถอะ ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆกันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ"การดึงดูดคนแบบเดียวกัน"นั่นเอง หมายความว่า ....เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ
2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
เวลาที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมากแค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา"ขยะ"พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ(ที่ปกติเราไม่ได้เป็นแบบนั้น)หลังจากที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆแล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆตัวเราต่างหาก
ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์(โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่"ปรับความถี่"แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆของเราไปจากเราแล้วหมุนเวียนใช้ประโยชน์ต่อได้ (ซึ่งในแง่วัตถุหากคนหรือสัตว์ถ่าย shit ลงที่โคนต้นไม้ ต้นไม้ก็นำมาใช้ได้อยู่แล้ว ดังนั้น อย่ารังเกียจการ"คืนพลังเสีย"ไปให้ต้นไม้) และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่าการนั่งในที่ทั่วๆไปมาก จริงใหมครับ
นอกจากนั้น ยิ่งนานวันผมเองเริ่มค้นพบว่าคริสตัลส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานในตัวเราได้อย่างน่าสนใจมาก คริสตัลแต่ละอย่างและแต่ละชิ้นจะส่งผลกระทบต่อเราไม่เหมือนกันเลย(แต่ชนิดเดียวกันก็จะใกล้เคียงกัน) และด้วยความที่มันสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่าต้นไม้ คริสตัลจึงเป็นเครื่องมือในการบำบัดฟื้นฟูที่ดีมากครับ
3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
นอกจากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเอง
หรือแม้แต่เพื่อน แรกๆอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน(อาฮ่า!)
แล้วเด็กๆบางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆมานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆนั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ
หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน"หลักฐาน"นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่า
อย่างเวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆกันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ
ยิ่งถ้าสมมุติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ(ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ
อย่างเวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
สี ความสว่าง ความชัด ขนาดและรูปทรงของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ(แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆนะครับ)
ยังไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล(ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไรโดยประสบการณ์
แต่ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน ดังนั้นสมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ (เอาล่ะ เราอาจอ่านผิดก็ได้ อิอิ)
สรุป
1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ