กำเนิดอาวุธพลังจิต
กำเนิดอาวุธพลังจิต
วิเลนสกายา ให้ข้อสังเกตว่าการวิจัยด้านพลังจิตในช่วงหลังนี้ โซเวียตมีเป้าหมายที่จะนำไป
ใช้ในทางที่ชั่วร้ายหรือไปใช้ในทางทหารมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักพลังจิตวิทยาชื่อ วลาอิล
คาสนาเซเยฟ ได้รายงานถึงการใช้พลังจิตช่วยแพร่เชื้อจากเซลล์เชื้อโรคไปยังเซลล์ดีที่ถูกแยก
จากกันด้วยแผ่นควอร์ตซ์ รายงานอีกชิ้นหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า โซเวียตกำลังพยายามจะสร้างอาวุธ
หรือเครื่องจักรพลังจิตที่สามารถเหนี่ยว นำการเต้นของหัวใจได้
ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้าโซเวียตทำโครงการที่ว่านี้สำเร็จแล้วละก็
พวก เขาก็คงจะทำตามวิถีทางของโซเวียต คือใช้ไปในทางที่ชั่วร้ายเหมือนพวกพ่อมดหมอผี
อย่างแน่นอน แต่ อย่างไรก็ดี พวกลัทธิมาร์กซิสอย่างโซเวียตนั้น ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย
ดังนั้นนักปรจิตของโซเวียตจะ ต้องค้นหาวิธีทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องการเดินทางของข่าว
สารทางกระแสจิต ซึ่งทฤษฎีของโซเวียตใน ปัจจุบันนี้ก็เชื่อว่า แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกุญแจสำคัญ
ในการที่จะไขปัญหาในเรื่องนี้ "มันเป็นความคิดที่รวบรัด
เกินไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้" นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้มีนาวกรว่า เอลิซาเบธรอสเชอร์
ซึ่งเป็นอาจารณ์สอนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอรห์นเอฟ.เคนเนดี ในโอริน
ดา แคลิฟอร์เนียกล่าว คลื่นสมองประกอบด้วยพลังงานทางแม่เหล็กไฟฟ้าและสมองของคนเรา
ก็เปรียบเสมือนสายอากาศทรงกลม ขนาดใหญ่ที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปทุกทิศทุกทาง
หากมีคนรับคลื่นพลังจิตนี้ได้ละก็ เราก็เรียกว่า "การส่งโทรจิต"
หลักฐานที่ยืนยันว่า โซเวียตเชื่อในแบบจำลองทางทฤษฎีนี้ก็ได้มาจากเครื่องไม้เครื่องมือ
ที่นักวิจัย พลังจิตของโซเวียตใช้งานอยู่เป็นประจำนั่งเอง ยกตัวอย่างเช่น "เครื่องไบโอพลาสโม
กราฟ" (bilplasmograph) ซึ่งใช้ผลึกของเหลวชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับวัด "สนาม
ชีวะ" (biofield) รอบๆ ตัว
มนุษย์ นายพล เจนนาดิเอ เซอร์เจเยฟ แห่งกองทัพเรือโซเวียตซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือนี้ขึ้น
มาก กล่าวว่า เครื่องไบโอพลาสโมกราฟสามารถจะใช้วัด "การเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็ก" ที่อยู่
รอบๆ ตัวนักพลังจิตได้ นอกจากนี้แล้วก็มีรายงานว่าโซเวียตก็ยังมีเครื่องจักร (อาวุธ) พลังจิตอีก
ชิ้นหนึ่งมีเชื่อว่า ลิดา
(Lida) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟ้าในการเปลี่ยนสภาวะความนึกคิดหรือ
จิตสำนึก ซึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาประสาทวิทยาของสหรัฐฯ ชื่อ ดับบลิว. รอสส์ เอ
ดีย์ ซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์ บริการแพทย์ทหารผ่านศึก (Veterans Adiministration Medical) ใน
โลมาลินดาซึ่งมีขนาดเท่ากล่องใส่ รองเท้านี้ทอดลองกับแมว ก็ปรากฏผลว่าสามารถชักนำจิต
ใจของเจ้าแมวให้หลับได้เป็นเวลานาน
ยิ่งไปกว่านั้น โคคลอฟยังได้เปิดเผยกับนักเขียนของ ออมนิ อีกว่า ขณะนี้โซเวียตได้พัฒนาใช้
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวนี้เพื่อควบคุมคนทั้งโลกกันแล้วโดยตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมานี้
โซเวียตได้ ยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานฑูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโคว์อยู่เป็นประจำ ซึ่งคาดกันว่าคง
มีจุดประสงค์ที่จะรบกวน จิตใจหรือสร้างพฤติการอันไม่พึงประสงค์ให้แก่นักกรทูตสหรัฐฯ และ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โซเวียตก็
ขยายการปฏิบัติการรุนแรงขึ้นถึงขั้นงัดเอาอาวุธพลังจิตขนาดใหญ่ออกมายิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ในย่านความ ถี่ 2-20 เฮิรตซ์ เขาใส่ประเทศสหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าคงเพื่อจุด
ประสงค์เดียวกันกับที่ทำกับ สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโคว์
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับว่า ได้ตรวจพบคลื่นดังกล่าวที่ยิ่งไปยังสหรัฐฯ นี้
จริง และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่าโซเวียตยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานทูต
สหรัฐฯ จริงๆ ก็ตาม เจ้า หน้าที่ในรัฐบาลของสหรัฐฯ บางคนก็ไม่เชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะมี
จุดประสงค์ดังที่นายโคคลอฟกล่าวอ้าง
ทั้งนี้เพราะโซเวียตอาจจะมีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการส่งวิทยุของสหรัฐฯ ก็ได้ และส่วน
คลื่นที่สำรวจพบ ในดินแดนสหรัฐฯ นั้นก็ยิ่งมาจากเรดาร์เหนือขอบฟ้าซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วง
หน้าของโซเวียตที่มีไว้เพื่อใช้ ตรวจจับขีปนาวุธของสหรัฐฯ "จริงอยู่ที่คนรัสเซียมีนิสัยโหดร้าย
แต่พวกเขาคงไม่บ้าพอที่จะทำอะไรโง่ๆ หรอก" แหล่งข่าวโตแย้งในเรื่องนี้กล่าว
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
สหรัฐฯ ร่วมทดลองการมองข้ามทวีป
รัสเซลล์ ทาร์ก ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษางานด้านพลังจิตของโซเวียตที่สำคัญคนหนึ่ง
ของฝ่ายตะวันตก มีความคิดเป็นเกี่ยวกับการวิจัยของโซเวียตว่า ความจริงแล้วรัสเซียนั้นมุ่งวิจัย
เกี่ยวกับ ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเพื่อใช้ในทางสันติส่วนเรื่องที่โคคลอฟและวิเลนสกายา
เล่าและให้ทัศนะนั้นเป็น งานวิจัยเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้ทั้งหมด
ทาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในการมองระยะไกล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515
ถึง 2525 เขาได้ทำงานกับสถาบันวิจัยสแนฟอร์ดซึ่งได้รับว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหมของ
สหรัฐฯ ให้ช่วย พัฒนา "สายลับพลังจิต" (psychic spies) ให้ ซึ่งงานนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
ในปี พ.ศ. 2525 หลังจากที่เขาได้ลาออกจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดเพราะว่างานวิจัยพลังจิตนี้
หนักไปทางทหารมากเกินไปแล้ว เขาก็ได้จักตั้งบริษัทเดลฟี แอสโซซิเอท (Delphi
Associaties) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในด้านพลังจิตขึ้นมาและหลังจากนั้นไม่นาน ทาร์กก็ถูก
สภาวิทยาศาสตร์ของโซเวียตเชิญไป เยี่ยมสถาบันวิจัยพลังจิตของรัสเซียซึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมา
ทาร์กก็ได้ไปเยือนรัสเซียถึงสองครั้ง จากการไป
เยือนนี้ทำให้เขาได้พบปะนักวิจัยด้านจิตของโซเวียตมากกว่านักวิทยาศาสตร์ชาวมะริกันทุกคน
"ผมไม่ สามารถยืนยันไดว่า โซเวียตได้ใช้พลังจิตในการทหารหรือไม่ แต่ที่รู้ๆ ก็คืองานของ
พวกเราเป็นวิทยาศาสตร์ บริสุทธิ์" ทาร์กกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัสเซียของคุณพี่ทาร์กนี้ก็ได้สหรัฐฯ ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับ
งาน ของโซเวียตมากขึ้นทีเดียว ในช่วงที่ไปรัสเซียนี้เขาก็ได้รู้จักกับ อิปโพลิต โคแกน ซึ่งเป็น
อดีตเจ้านาย ของวิเลนสกายา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ทำงานอยู่ที่ สถาบันเรดิโอเทคโนโลยีและเอ็นจิ
เนียริ่ง (Institute of Rsdiotechology and Engineering) ในเลนินกราด และเมื่อปีที่แล้วนี้ โค
แกน ก็ไดตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์ทางพลังจิตออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งในหนังสือนี้เขาได้เสนอว่าพลังจิสามรถจะอธิบา
ได้ด้วยคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำและนอกจากนี้แล้ว ทาร์กก็ยังได้ยินข่าวของ วิกเตอร์ อินยู
ชิน ที่รายงานข่าวกรอง ของสหรัฐฯ อ้างถึงเขาว่าเป็นผู้สร้างเครื่องควบคุมจิตใจที่มีชื่อเรียกว่า
"เครื่องกำเนิดไซโคทรอนิก
(psychotronic generator)" ว่าทุกวันนี้อินยูชินกำลังทำการทดลองการใช้เลเซอร์ในการปรับ
ปรุงผลทางการ เกษตร และการใช้เครื่องถ่ายภาพเคอร์เลียน (Kirlian) เพื่อใช้ในวินิจโรคทาง
การแพทย์ หลังจากที่ทาร์กกลับมาบ้านแล้วเขาและเพื่อนชาวรัสเซียก็ได้จัดการสาธิต "การมอง
ระยะไกล" ข้ามทวีประหว่างมอสโคว์กับซานฟรานซิสโกขึ้น การทดลองครั้งนี้ก็มีขึ้นที่
ของดจูนา ดาวิตาชวิ ลี ซึ่งเป็นหมอนวดหญิงของโรงพยาบาลจอร์เจียน (Georgian hospital)
เคยทำให้รัฐบาลโซเวียต ในกับการใช้พลังจิตรักษาผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็ว่ารักษาไม่ได้ให้
หายได้ ทากเปิดเผยผลจาก การทดลองว่า ดาวิตาชวิลีสามารถอธิบายถึงม้าหมุนที่ตั้งอยู่ตรงท่า
เรือประมงของศาลฟรานซิสโกได "มัน เป็นการมองระยะไกลที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้าน
ระยะทางและเวลา (คาดการณ์ล่วงหน้า)" ทาร์กกล่าว
แต่อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ก็มีนักวิทยาศสาตร์หลายคนไม่เชื่อในผลการทดลองนี้ แต่ทาร์กก็โต้แย้ง
และยืนยัน ว่านี่ไม่ใช่การทดลอง แต่เป็นการสาธิตและถ้าเป็นไปได้ เขาจะทำการทอดลองให้ดู
อีกทีก็ได้...ครับ ท้ากัน อย่างนี้ ผมว่าก็น่าจะลองกันสักตั้ง เผื่อจะได้รู้ว่าทหารพลังจิตของพี่หมี
นั้นก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว???
นักวิทยาศาสตร์รัสเซียยันใช้พลังจิตฆ่าคน
"พลังจิต (กำลังภายใน) ฆ่าคนหรือสัตว์ได้จริงหรือ ???" ครับ ปริศนานี้เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็
อยากจะรู้ โดยเฉพาะพวกทหารที่ต้องการจะพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ที่มีอำนาจการทำลายสูง..แต่ตัว
เองปลอดภัย คือต้องการอาวุธที่รู้ว่าใครเป็นศัตรู และก็ห่าเฉพาะเจ้าศัตรูนั้นเสีย...ครับ
หากอย่ากรู้คำตอบและข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ก็ต้องถามนาย ออกัสต์ สเทิร์น ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์
โซเวีตยที่ลี้ภัยมาอยู่ในค่ายตะวันตกเมื่อปี พ. ศ. 2518 เขาเรียนจบทั้งทางด้านคอมพิวเตอร์
ประสาทสรีรวิทยา และคณิตศาสตร์ประยุกต์ด้วยและเป็นผู้
หนึ่งที่ได้รู้รู้เห็นการวิจัยอาวุธพลังจิตพิฆาตของรัฐบาลโซเวียต
สเทิร์นเคยทำงานอยู่ในหน่วยราชการการลับในไซบีเรียของโซเวียต "สเปเชียงดีพาร์ตเมนต์ 8"
ซึ่งทำให้เขาได้รู้ได้เห็นการทำวิจัยอาวุธพลังจิตของรัสเซีย การทดลองครั้งหนึ่งที่สเทิร์นเล่าให้
ฟังก็คือมี การจับลูกไก่อายุ 2-3 วัน ใส่กล่องโลหะ แล้วนำลงไปไว้ใต้ถุนตึกส่วนตัวแม่ก็เอาไว้ที่
ห้องทดลองบนชั้น 3 และก็มีการต่อสายระโยระยางจากหัวของแม่ไก่เข้าเครื่องวัดคลื่นสมอง
(electroencephalograph)...การ ทดลองเริ่มขึ้นด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไปในกล่อง
โลหะ...จนเจ้าลูกไก่เต้นและสั่นงันงกด้วยความ เจ็บปวดเช่นเดียวกับลูกของมัน...นี่แสดงให้เห็น
ว่า แม้จะอยู่ไกลกัน ไก่แม่ลูกคู่นี้ก็ยังสามารถรับรู้ความรู้สึก ของกันและกันได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้
เพราะทั้งสองมีการถ่ายทอดกระแสจิตไปให้กันและกัน นี่เป็นตัวอย่างการทดลองเพียงเบาะๆ
เท่านั้น...สเทิร์นบอกว่า ที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ก็มี อาทิเช่น ใน
ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 สเทิร์นได้เห็นการทดลองอันมหาโหดในห้องปฏิบัติการของทหาร
โซเวียต คือ ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามจะใช้พลังจิตบังคับให้ศัตรูตกรถเมล์ อีกครั้งหนึ่งก็
พยายามที่จะฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากระยะไกล
สเทิร์นเล่าถึงเหตุการณ์ในการทดลองในครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่า พวกนักพลังจิตของพี่หมีได้จับ
เอา แมวตัวหนึ่งไปขังไว้ในอีกห้องหนึ่ง แล้วจากนั้นก็พยายามจะใช้พลังจิตฆ่ามันเสีย..."ตอนนั้น
ผมมองว่ามัน เป็นเรื่องงี่เง่า" สเทิร์นรำพึงถึงความหลัง แต่แล้วในภายหลังเขาก็พูดไม่ออก
เพราะปรากฏโซเวียตตายทุกคืน.. "มันเหมือนกับอธิบายเรื่องเฟรงเกนสไตน์ยังไงยังงั้น"
ทางกระแส ปัจจุบันนี้ก็ทำงานอยู่ที่ห้องปฏิบัติการนี้ สเทิร์นไดมีโอกาสทำวิจัยในโครงการลับนี้
เหมือนกัน งานของเขาในครั้งนั้นก็คือการค้นหาหลักการทางฟิสิกส์ที่จะไขปัญหา ปรากฏการณ์
ทางพลังจิต เสทิร์นก็เหมือนนักวิจัยของโซเวียตคนอื่นๆ คือ เชื่อว่าพลังจิตอาจจะเป็นพลังงาน
หรืออนุภาคอันใดอันหนึ่ง ที่เรารู้จักกันอยู่แล้วดังนั้นสเทิร์นจึงเลือกเอา "นิวตริโน" ซึ่งเป็น
อนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ไม่มีมวลวิ่งด้วย ความเร็วเท่าแสง และสามารถทะลุทะลวงทุกสิ่ง
ทุกอย่างได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า นิวตริโนเป็นตัวนำคลื่น พลังจิตหรือกระแสจิตและคนที่มีความ
ไวต่อนิวตริโนก็เรียกคนนั้นว่ามีพลังจิตหรือเป็นนักพลังจิต.. ครับหาก
สมมติฐานนี้ถูกต้อง ต่อไปไม่แน่ว่าโซเวียตก็อาจจะสามารถสร้างอาวุธพลังจิตมหาประลับที่
สามารถ บัญชาการให้ใครต่อใครเป็นตามความต้องการของพี่หมี หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะแช่งชัก
ให้หัวใจวายหรือเส้น เลือดในสมอง (ของผู้นำประเทศศัตรู) แตกตายก็ได้..แต่ก็เป็นที่น่ายินดี
ครับว่าอาวุธมหาประลัยนี้ยังไม่เกิด
เป็นตัวเป็นตนขึ้นเพราะห้องปฏิบัติการดีพาร์ตเมนต์ 8 ที่สเทิร์นทำงายอยู่ถูกสั่งปิดในปี พ.ศ.
2512 และหลัง จากนั้นอีก 6 ปีต่อมาสเทิร์นก็เผ่นมาอยู่กับฝ่ายโลกเสรี
แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้โซเวียตก็กำลังเดินการวิจัยลับนี้อยู่ในห้องปฏิบัติการอื่นๆ..ครับ
หลัง จากที่นักวิทยาศาสตร์ในค่ายตะวันตกได้ยินได้ฟังเรื่องราวการพัฒนาอาวุธพิสาดารล้ำลึกนี้
แล้ว ก็เกิดเสีย วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...บางคนก็เชื่อว่าพี่หมีคงทำได้จริง..แต่บางคนก็ว่าเป็น
ไปไม่ได้เรื่องไร้สาระทั้งเพ..แต่ ผมว่าเรื่องนี้มันก็ไม่แน่นะนาย เพราะหากมันไร้สาระแล้วละก็
ทำไมเวลานี้เพนตากอนของสหรัฐฯ ถึงได้
ประกาศทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อดำเนินการศึกษาเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง??
สรุปคือ เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้ เพราะโซเวียตเคยทำให้คนทั้งโลกประหลาดใจกับการส่งดาว
เทียมสปุตนิก ขึ้นสู่อวกาศ. ส่งคนขึ้นท่องอวกาศ..สร้างดาวเทียมล่าสังหาร..และพัฒนาอาวุธ
สตาร์วอร์สมา แล้ว ฉะนั้นถ้าจะสร้างอาวุธพลังจิตขึ้นมาอีกสักชิ้นหนึ่งก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่
อย่างใดใชไหมละ
วิเลนสกายา ให้ข้อสังเกตว่าการวิจัยด้านพลังจิตในช่วงหลังนี้ โซเวียตมีเป้าหมายที่จะนำไป
ใช้ในทางที่ชั่วร้ายหรือไปใช้ในทางทหารมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักพลังจิตวิทยาชื่อ วลาอิล
คาสนาเซเยฟ ได้รายงานถึงการใช้พลังจิตช่วยแพร่เชื้อจากเซลล์เชื้อโรคไปยังเซลล์ดีที่ถูกแยก
จากกันด้วยแผ่นควอร์ตซ์ รายงานอีกชิ้นหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า โซเวียตกำลังพยายามจะสร้างอาวุธ
หรือเครื่องจักรพลังจิตที่สามารถเหนี่ยว นำการเต้นของหัวใจได้
ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้าโซเวียตทำโครงการที่ว่านี้สำเร็จแล้วละก็
พวก เขาก็คงจะทำตามวิถีทางของโซเวียต คือใช้ไปในทางที่ชั่วร้ายเหมือนพวกพ่อมดหมอผี
อย่างแน่นอน แต่ อย่างไรก็ดี พวกลัทธิมาร์กซิสอย่างโซเวียตนั้น ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย
ดังนั้นนักปรจิตของโซเวียตจะ ต้องค้นหาวิธีทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องการเดินทางของข่าว
สารทางกระแสจิต ซึ่งทฤษฎีของโซเวียตใน ปัจจุบันนี้ก็เชื่อว่า แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกุญแจสำคัญ
ในการที่จะไขปัญหาในเรื่องนี้ "มันเป็นความคิดที่รวบรัด
เกินไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้" นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้มีนาวกรว่า เอลิซาเบธรอสเชอร์
ซึ่งเป็นอาจารณ์สอนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอรห์นเอฟ.เคนเนดี ในโอริน
ดา แคลิฟอร์เนียกล่าว คลื่นสมองประกอบด้วยพลังงานทางแม่เหล็กไฟฟ้าและสมองของคนเรา
ก็เปรียบเสมือนสายอากาศทรงกลม ขนาดใหญ่ที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปทุกทิศทุกทาง
หากมีคนรับคลื่นพลังจิตนี้ได้ละก็ เราก็เรียกว่า "การส่งโทรจิต"
หลักฐานที่ยืนยันว่า โซเวียตเชื่อในแบบจำลองทางทฤษฎีนี้ก็ได้มาจากเครื่องไม้เครื่องมือ
ที่นักวิจัย พลังจิตของโซเวียตใช้งานอยู่เป็นประจำนั่งเอง ยกตัวอย่างเช่น "เครื่องไบโอพลาสโม
กราฟ" (bilplasmograph) ซึ่งใช้ผลึกของเหลวชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับวัด "สนาม
ชีวะ" (biofield) รอบๆ ตัว
มนุษย์ นายพล เจนนาดิเอ เซอร์เจเยฟ แห่งกองทัพเรือโซเวียตซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือนี้ขึ้น
มาก กล่าวว่า เครื่องไบโอพลาสโมกราฟสามารถจะใช้วัด "การเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็ก" ที่อยู่
รอบๆ ตัวนักพลังจิตได้ นอกจากนี้แล้วก็มีรายงานว่าโซเวียตก็ยังมีเครื่องจักร (อาวุธ) พลังจิตอีก
ชิ้นหนึ่งมีเชื่อว่า ลิดา
(Lida) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟ้าในการเปลี่ยนสภาวะความนึกคิดหรือ
จิตสำนึก ซึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาประสาทวิทยาของสหรัฐฯ ชื่อ ดับบลิว. รอสส์ เอ
ดีย์ ซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์ บริการแพทย์ทหารผ่านศึก (Veterans Adiministration Medical) ใน
โลมาลินดาซึ่งมีขนาดเท่ากล่องใส่ รองเท้านี้ทอดลองกับแมว ก็ปรากฏผลว่าสามารถชักนำจิต
ใจของเจ้าแมวให้หลับได้เป็นเวลานาน
ยิ่งไปกว่านั้น โคคลอฟยังได้เปิดเผยกับนักเขียนของ ออมนิ อีกว่า ขณะนี้โซเวียตได้พัฒนาใช้
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวนี้เพื่อควบคุมคนทั้งโลกกันแล้วโดยตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมานี้
โซเวียตได้ ยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานฑูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโคว์อยู่เป็นประจำ ซึ่งคาดกันว่าคง
มีจุดประสงค์ที่จะรบกวน จิตใจหรือสร้างพฤติการอันไม่พึงประสงค์ให้แก่นักกรทูตสหรัฐฯ และ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โซเวียตก็
ขยายการปฏิบัติการรุนแรงขึ้นถึงขั้นงัดเอาอาวุธพลังจิตขนาดใหญ่ออกมายิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ในย่านความ ถี่ 2-20 เฮิรตซ์ เขาใส่ประเทศสหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าคงเพื่อจุด
ประสงค์เดียวกันกับที่ทำกับ สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโคว์
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับว่า ได้ตรวจพบคลื่นดังกล่าวที่ยิ่งไปยังสหรัฐฯ นี้
จริง และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่าโซเวียตยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานทูต
สหรัฐฯ จริงๆ ก็ตาม เจ้า หน้าที่ในรัฐบาลของสหรัฐฯ บางคนก็ไม่เชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะมี
จุดประสงค์ดังที่นายโคคลอฟกล่าวอ้าง
ทั้งนี้เพราะโซเวียตอาจจะมีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการส่งวิทยุของสหรัฐฯ ก็ได้ และส่วน
คลื่นที่สำรวจพบ ในดินแดนสหรัฐฯ นั้นก็ยิ่งมาจากเรดาร์เหนือขอบฟ้าซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วง
หน้าของโซเวียตที่มีไว้เพื่อใช้ ตรวจจับขีปนาวุธของสหรัฐฯ "จริงอยู่ที่คนรัสเซียมีนิสัยโหดร้าย
แต่พวกเขาคงไม่บ้าพอที่จะทำอะไรโง่ๆ หรอก" แหล่งข่าวโตแย้งในเรื่องนี้กล่าว
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
สหรัฐฯ ร่วมทดลองการมองข้ามทวีป
รัสเซลล์ ทาร์ก ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษางานด้านพลังจิตของโซเวียตที่สำคัญคนหนึ่ง
ของฝ่ายตะวันตก มีความคิดเป็นเกี่ยวกับการวิจัยของโซเวียตว่า ความจริงแล้วรัสเซียนั้นมุ่งวิจัย
เกี่ยวกับ ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเพื่อใช้ในทางสันติส่วนเรื่องที่โคคลอฟและวิเลนสกายา
เล่าและให้ทัศนะนั้นเป็น งานวิจัยเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้ทั้งหมด
ทาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในการมองระยะไกล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515
ถึง 2525 เขาได้ทำงานกับสถาบันวิจัยสแนฟอร์ดซึ่งได้รับว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหมของ
สหรัฐฯ ให้ช่วย พัฒนา "สายลับพลังจิต" (psychic spies) ให้ ซึ่งงานนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
ในปี พ.ศ. 2525 หลังจากที่เขาได้ลาออกจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดเพราะว่างานวิจัยพลังจิตนี้
หนักไปทางทหารมากเกินไปแล้ว เขาก็ได้จักตั้งบริษัทเดลฟี แอสโซซิเอท (Delphi
Associaties) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในด้านพลังจิตขึ้นมาและหลังจากนั้นไม่นาน ทาร์กก็ถูก
สภาวิทยาศาสตร์ของโซเวียตเชิญไป เยี่ยมสถาบันวิจัยพลังจิตของรัสเซียซึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมา
ทาร์กก็ได้ไปเยือนรัสเซียถึงสองครั้ง จากการไป
เยือนนี้ทำให้เขาได้พบปะนักวิจัยด้านจิตของโซเวียตมากกว่านักวิทยาศาสตร์ชาวมะริกันทุกคน
"ผมไม่ สามารถยืนยันไดว่า โซเวียตได้ใช้พลังจิตในการทหารหรือไม่ แต่ที่รู้ๆ ก็คืองานของ
พวกเราเป็นวิทยาศาสตร์ บริสุทธิ์" ทาร์กกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัสเซียของคุณพี่ทาร์กนี้ก็ได้สหรัฐฯ ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับ
งาน ของโซเวียตมากขึ้นทีเดียว ในช่วงที่ไปรัสเซียนี้เขาก็ได้รู้จักกับ อิปโพลิต โคแกน ซึ่งเป็น
อดีตเจ้านาย ของวิเลนสกายา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ทำงานอยู่ที่ สถาบันเรดิโอเทคโนโลยีและเอ็นจิ
เนียริ่ง (Institute of Rsdiotechology and Engineering) ในเลนินกราด และเมื่อปีที่แล้วนี้ โค
แกน ก็ไดตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์ทางพลังจิตออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งในหนังสือนี้เขาได้เสนอว่าพลังจิสามรถจะอธิบา
ได้ด้วยคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำและนอกจากนี้แล้ว ทาร์กก็ยังได้ยินข่าวของ วิกเตอร์ อินยู
ชิน ที่รายงานข่าวกรอง ของสหรัฐฯ อ้างถึงเขาว่าเป็นผู้สร้างเครื่องควบคุมจิตใจที่มีชื่อเรียกว่า
"เครื่องกำเนิดไซโคทรอนิก
(psychotronic generator)" ว่าทุกวันนี้อินยูชินกำลังทำการทดลองการใช้เลเซอร์ในการปรับ
ปรุงผลทางการ เกษตร และการใช้เครื่องถ่ายภาพเคอร์เลียน (Kirlian) เพื่อใช้ในวินิจโรคทาง
การแพทย์ หลังจากที่ทาร์กกลับมาบ้านแล้วเขาและเพื่อนชาวรัสเซียก็ได้จัดการสาธิต "การมอง
ระยะไกล" ข้ามทวีประหว่างมอสโคว์กับซานฟรานซิสโกขึ้น การทดลองครั้งนี้ก็มีขึ้นที่
ของดจูนา ดาวิตาชวิ ลี ซึ่งเป็นหมอนวดหญิงของโรงพยาบาลจอร์เจียน (Georgian hospital)
เคยทำให้รัฐบาลโซเวียต ในกับการใช้พลังจิตรักษาผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็ว่ารักษาไม่ได้ให้
หายได้ ทากเปิดเผยผลจาก การทดลองว่า ดาวิตาชวิลีสามารถอธิบายถึงม้าหมุนที่ตั้งอยู่ตรงท่า
เรือประมงของศาลฟรานซิสโกได "มัน เป็นการมองระยะไกลที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้าน
ระยะทางและเวลา (คาดการณ์ล่วงหน้า)" ทาร์กกล่าว
แต่อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ก็มีนักวิทยาศสาตร์หลายคนไม่เชื่อในผลการทดลองนี้ แต่ทาร์กก็โต้แย้ง
และยืนยัน ว่านี่ไม่ใช่การทดลอง แต่เป็นการสาธิตและถ้าเป็นไปได้ เขาจะทำการทอดลองให้ดู
อีกทีก็ได้...ครับ ท้ากัน อย่างนี้ ผมว่าก็น่าจะลองกันสักตั้ง เผื่อจะได้รู้ว่าทหารพลังจิตของพี่หมี
นั้นก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว???
นักวิทยาศาสตร์รัสเซียยันใช้พลังจิตฆ่าคน
"พลังจิต (กำลังภายใน) ฆ่าคนหรือสัตว์ได้จริงหรือ ???" ครับ ปริศนานี้เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็
อยากจะรู้ โดยเฉพาะพวกทหารที่ต้องการจะพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ที่มีอำนาจการทำลายสูง..แต่ตัว
เองปลอดภัย คือต้องการอาวุธที่รู้ว่าใครเป็นศัตรู และก็ห่าเฉพาะเจ้าศัตรูนั้นเสีย...ครับ
หากอย่ากรู้คำตอบและข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ก็ต้องถามนาย ออกัสต์ สเทิร์น ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์
โซเวีตยที่ลี้ภัยมาอยู่ในค่ายตะวันตกเมื่อปี พ. ศ. 2518 เขาเรียนจบทั้งทางด้านคอมพิวเตอร์
ประสาทสรีรวิทยา และคณิตศาสตร์ประยุกต์ด้วยและเป็นผู้
หนึ่งที่ได้รู้รู้เห็นการวิจัยอาวุธพลังจิตพิฆาตของรัฐบาลโซเวียต
สเทิร์นเคยทำงานอยู่ในหน่วยราชการการลับในไซบีเรียของโซเวียต "สเปเชียงดีพาร์ตเมนต์ 8"
ซึ่งทำให้เขาได้รู้ได้เห็นการทำวิจัยอาวุธพลังจิตของรัสเซีย การทดลองครั้งหนึ่งที่สเทิร์นเล่าให้
ฟังก็คือมี การจับลูกไก่อายุ 2-3 วัน ใส่กล่องโลหะ แล้วนำลงไปไว้ใต้ถุนตึกส่วนตัวแม่ก็เอาไว้ที่
ห้องทดลองบนชั้น 3 และก็มีการต่อสายระโยระยางจากหัวของแม่ไก่เข้าเครื่องวัดคลื่นสมอง
(electroencephalograph)...การ ทดลองเริ่มขึ้นด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไปในกล่อง
โลหะ...จนเจ้าลูกไก่เต้นและสั่นงันงกด้วยความ เจ็บปวดเช่นเดียวกับลูกของมัน...นี่แสดงให้เห็น
ว่า แม้จะอยู่ไกลกัน ไก่แม่ลูกคู่นี้ก็ยังสามารถรับรู้ความรู้สึก ของกันและกันได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้
เพราะทั้งสองมีการถ่ายทอดกระแสจิตไปให้กันและกัน นี่เป็นตัวอย่างการทดลองเพียงเบาะๆ
เท่านั้น...สเทิร์นบอกว่า ที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ก็มี อาทิเช่น ใน
ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 สเทิร์นได้เห็นการทดลองอันมหาโหดในห้องปฏิบัติการของทหาร
โซเวียต คือ ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามจะใช้พลังจิตบังคับให้ศัตรูตกรถเมล์ อีกครั้งหนึ่งก็
พยายามที่จะฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากระยะไกล
สเทิร์นเล่าถึงเหตุการณ์ในการทดลองในครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่า พวกนักพลังจิตของพี่หมีได้จับ
เอา แมวตัวหนึ่งไปขังไว้ในอีกห้องหนึ่ง แล้วจากนั้นก็พยายามจะใช้พลังจิตฆ่ามันเสีย..."ตอนนั้น
ผมมองว่ามัน เป็นเรื่องงี่เง่า" สเทิร์นรำพึงถึงความหลัง แต่แล้วในภายหลังเขาก็พูดไม่ออก
เพราะปรากฏโซเวียตตายทุกคืน.. "มันเหมือนกับอธิบายเรื่องเฟรงเกนสไตน์ยังไงยังงั้น"
ทางกระแส ปัจจุบันนี้ก็ทำงานอยู่ที่ห้องปฏิบัติการนี้ สเทิร์นไดมีโอกาสทำวิจัยในโครงการลับนี้
เหมือนกัน งานของเขาในครั้งนั้นก็คือการค้นหาหลักการทางฟิสิกส์ที่จะไขปัญหา ปรากฏการณ์
ทางพลังจิต เสทิร์นก็เหมือนนักวิจัยของโซเวียตคนอื่นๆ คือ เชื่อว่าพลังจิตอาจจะเป็นพลังงาน
หรืออนุภาคอันใดอันหนึ่ง ที่เรารู้จักกันอยู่แล้วดังนั้นสเทิร์นจึงเลือกเอา "นิวตริโน" ซึ่งเป็น
อนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ไม่มีมวลวิ่งด้วย ความเร็วเท่าแสง และสามารถทะลุทะลวงทุกสิ่ง
ทุกอย่างได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า นิวตริโนเป็นตัวนำคลื่น พลังจิตหรือกระแสจิตและคนที่มีความ
ไวต่อนิวตริโนก็เรียกคนนั้นว่ามีพลังจิตหรือเป็นนักพลังจิต.. ครับหาก
สมมติฐานนี้ถูกต้อง ต่อไปไม่แน่ว่าโซเวียตก็อาจจะสามารถสร้างอาวุธพลังจิตมหาประลับที่
สามารถ บัญชาการให้ใครต่อใครเป็นตามความต้องการของพี่หมี หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะแช่งชัก
ให้หัวใจวายหรือเส้น เลือดในสมอง (ของผู้นำประเทศศัตรู) แตกตายก็ได้..แต่ก็เป็นที่น่ายินดี
ครับว่าอาวุธมหาประลัยนี้ยังไม่เกิด
เป็นตัวเป็นตนขึ้นเพราะห้องปฏิบัติการดีพาร์ตเมนต์ 8 ที่สเทิร์นทำงายอยู่ถูกสั่งปิดในปี พ.ศ.
2512 และหลัง จากนั้นอีก 6 ปีต่อมาสเทิร์นก็เผ่นมาอยู่กับฝ่ายโลกเสรี
แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้โซเวียตก็กำลังเดินการวิจัยลับนี้อยู่ในห้องปฏิบัติการอื่นๆ..ครับ
หลัง จากที่นักวิทยาศาสตร์ในค่ายตะวันตกได้ยินได้ฟังเรื่องราวการพัฒนาอาวุธพิสาดารล้ำลึกนี้
แล้ว ก็เกิดเสีย วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...บางคนก็เชื่อว่าพี่หมีคงทำได้จริง..แต่บางคนก็ว่าเป็น
ไปไม่ได้เรื่องไร้สาระทั้งเพ..แต่ ผมว่าเรื่องนี้มันก็ไม่แน่นะนาย เพราะหากมันไร้สาระแล้วละก็
ทำไมเวลานี้เพนตากอนของสหรัฐฯ ถึงได้
ประกาศทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อดำเนินการศึกษาเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง??
สรุปคือ เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้ เพราะโซเวียตเคยทำให้คนทั้งโลกประหลาดใจกับการส่งดาว
เทียมสปุตนิก ขึ้นสู่อวกาศ. ส่งคนขึ้นท่องอวกาศ..สร้างดาวเทียมล่าสังหาร..และพัฒนาอาวุธ
สตาร์วอร์สมา แล้ว ฉะนั้นถ้าจะสร้างอาวุธพลังจิตขึ้นมาอีกสักชิ้นหนึ่งก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่
อย่างใดใชไหมละ