บทที่ 6 Positive Imagination
และแล้วในที่สุดก็มาถึงบทที่6จนได้ และก่อนอื่น ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ นั่นคือหลังจากบทนี้เป็นต้นไป คุณจะเริ่มนำพลังจิตมาใช้
ประโยชน์ได้จริงๆแล้วครับ ยินดีด้วย! ที่ผ่านมาทั้ง 5 บท (ถ้าอ่านและฝึกตาม) คุณจะมีพื้นฐานและความเข้าใจภาพรวมของการใช้
พลังจิตบ้างแล้ว ดังนั้นเราจะเริ่มหัดใช้พลังจิตให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติกัน ตั้งแต่บทนี้ไป โดยเราจะเริ่มจากความสามารถในการ
บันดาลเหตุการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งผมว่านี่สำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ผมอยากจะบอกกฏ(และมันเป็นเคล็ดลับ)ของการใช้พลังจิตให้ทุกคนครับ กฏนี้ผมพบว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ในการใช้พลังจิต มันคือ..
FOCUS AND RELAX
กฏนี้สำคัญมาก และจริงๆผมอยากจะขีดเส้นใต้สามเส้นถ้าเป็นไปได้ คุณจะต้องทั้งจดจ่อและผ่อนคลายถึงจะใช้พลังจิตได้ผล แน่นอนหากเราไม่จดจ่อ มันจะไม่เกิด
ประโยชน์ได้จริงๆแล้วครับ ยินดีด้วย! ที่ผ่านมาทั้ง 5 บท (ถ้าอ่านและฝึกตาม) คุณจะมีพื้นฐานและความเข้าใจภาพรวมของการใช้
พลังจิตบ้างแล้ว ดังนั้นเราจะเริ่มหัดใช้พลังจิตให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติกัน ตั้งแต่บทนี้ไป โดยเราจะเริ่มจากความสามารถในการ
บันดาลเหตุการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งผมว่านี่สำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ผมอยากจะบอกกฏ(และมันเป็นเคล็ดลับ)ของการใช้พลังจิตให้ทุกคนครับ กฏนี้ผมพบว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ในการใช้พลังจิต มันคือ..
FOCUS AND RELAX
กฏนี้สำคัญมาก และจริงๆผมอยากจะขีดเส้นใต้สามเส้นถ้าเป็นไปได้ คุณจะต้องทั้งจดจ่อและผ่อนคลายถึงจะใช้พลังจิตได้ผล แน่นอนหากเราไม่จดจ่อ มันจะไม่เกิด
อะไรขึ้นเลย แต่จุดที่น่าสนใจคือ หากในขณะที่เราจดจ่อเราไม่ผ่อนคลาย เชื่อใหมครับว่าพลังจิตจะแทบไม่ทำงาน(หรืออาจไม่ทำงาน)เลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ
เหตุผลที่ทำให้ผมเขียนเรื่องการRELAX(ผ่อนคลาย)ให้ในบทที่แล้ว หวังว่าคุณฝึกได้แล้ว? และครั้งนี้เราจะมาฝึกครึ่งที่เหลือเพื่อให้เคล็ดลับนี้สมบูรณ์ นั่นคือ
FOCUS หรือการจดจ่อครับ
การFOCUSนั้น เราจะต้องจดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจ ทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก จำได้ใหมครับ จิตสำนึกคือส่วนที่เรารู้ตัว จิตใต้สำนึกคือส่วนลึกในตัวเราที่
การFOCUSนั้น เราจะต้องจดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจ ทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก จำได้ใหมครับ จิตสำนึกคือส่วนที่เรารู้ตัว จิตใต้สำนึกคือส่วนลึกในตัวเราที่
ปกติเราไม่รู้ การทำให้จิตสำนึกจดจ่อนั้นง่ายมาก แค่ตั้งสติ(ไม่เมา)แล้วตัดสินใจจดจ่อมันก็จดจ่อแล้วครับ แต่จิตใต้สำนึกนี่สิ ปกติเราไม่รู้และไม่สามารถควบคุม
มันได้ เราจึงต้องมีเทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงานสอดคล้องกับจิตสำนึก ให้มันจดจ่อในสิ่งที่เราต้องการ
เทคนิคสั่งจิตใต้สำนึกนั้นก็มีมากมาย เช่นการสะกดจิตตัวเองซึ่งแตกเทคนิคออกไปอีกเยอะ,การสวด,เพลง,ไปจนถึงเวทย์มนตร์คาถา,รวมถึงการใช้ยา(ซึ่งผมไม่แนะนำให้ใช้เลย) ส่วนเทคนิคที่ผมชอบที่สุด เป็นเทคนิคการสะกดจิตตัวเอง ซึ่งผมจะบอกวิธีที่ผมชอบที่สุดให้คุณสัก2-3วิธี
MIND SCREEN/POSITIVE IMAGINATION
1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
2. ห้ามเกร็ง โดยเฉพาะที่หว่างคิ้วจะเกร็งง่ายมากต้องระวัง หลับตาแล้วกำหนดเห็นภาพในใจ เป็นภาพพื้นที่สีขาวๆ นี่จะทำหน้าที่เป็นจอหนัง
3. บนพื้นที่สีขาว เริ่มกำหนดภาพสิ่งที่เราต้องการให้เกิด เช่นสมมุติเราอยากไปเชียงใหม่ ก็สร้างหนัง "เราอยู่ในเชียงใหม่" โดยควรจะเป็นหนังที่มีรายละเอียดสูงที่สุด(อย่าลืม ห้ามเกร็ง ห้ามขมวดคิ้ว) ตั้งแต่สถานที่ เสียง แสง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตัวประกอบ เห็นคุณกำลังทำสิ่งที่อยากทำให้สมจริงและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. เมื่อฉายหนังจบ เลิกสนใจจอหนัง สนใจร่างกายของคุณแทน เราจะกลับสู่โหมดปกติโดยการจินตนาการถึงพลัง(อาจใช้แสงสีขาว)แล่นผ่านทั่วร่างกาย รู้สึกถึงพละกำลังที่ค่อยๆกลับมา จนทั่วแล้วค่อยๆเคลื่อนไหวจากน้อยๆเช่นกระดิกนิ้ว ขยับมือ แขน ขา แล้วค่อยๆลุกขึ้น (ถ้าเคลื่อนไหวแรงและเร็วเกินไปโดยไม่เป็นขั้นตอนอาจมีปัญหากับปราณและชีพจรได้)
หากคุณไม่ชอบวิธีนี้ ลองอีกวิธีที่ผมเคยใช้ก็ได้ครับ
MANTRA
1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
2. พูดสิ่งที่ต้องการในใจ เช่นเราได้เข้าเรียนในคณะ โดยใช้คำพูดที่ง่ายและเป็นประโยคบอกเล่า ห้ามใช้ประโยคปฏิเสธิหรือประโยคอนาคต
3. ท่องซ้ำๆพร้อมกับผ่อนคลายไปจนกว่าจะหลับ
ทั้งสองวิธีนี้ ให้ทำเป็นประจำไปเรื่อยๆครับ แล้วคุณจะพบว่า มันได้ผล
ตอนนี้คุณได้เรียนรู้วิธีใช้อำนาจจิตทำงานให้เกิดสิ่งที่เราต้องการแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดกว่าพลังจิตชนิดอื่นๆทั้งหมด เพราะอะไรน่ะหรือครับ คุณคิดดูถ้าหากเรามีพลังเยอะแยะ อ่านใจคนได้ รักษาโรคได้ เห็นวิญญาน หรือแม้แต่เหาะได้ แต่เราไม่สามารถจัดการกับชีวิตเราได้ เราก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ขอทานก็มีความทุกข์อย่างขอทานได้ นักธุรกิจก็มีความทุกข์ของเขา ดาราก็มีปัญหาแบบดาราได้ ราชาก็มีความทุกข์ของเขาได้ ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เก่งแค่ไหน ถ้าเราจัดการกับชีวิตไม่ได้ ทุกคนก็แย่พอๆกันนั่นแหละครับ ดังนั้นความสามารถในการดลบันดาลเหตุการณ์ในชีวิต สำคัญกว่าพลังจิตชนิดอื่นทั้งหมด บอกตรงๆถ้าคุณใช้พลังจิตอื่นไม่ได้เลยแต่ใช้พลังจิตpositive imaginationนี้ได้ผมว่าคุณได้ประโยชน์ไปเยอะแล้ว
สำหรับบางคนอาจสงสัย ว่าทำแบบนี้แล้วก็ได้ผลเนี่ยนะ? คำตอบคือ ใช่ครับ แต่การได้ผลมันไม่เหมือนหนังพวกแฮรี่พอตเตอร์หรอกครับ ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเราอยากรวยแล้วพอทำแบบนี้ มันจะมีควันออกมาพรึ่บ! แล้วมีเงินกระสอบนึงออกมาจากควัน...ไม่มีทางสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรานั่นแหละครับที่เปลี่ยน เราจะไปทำสิ่งที่จำเป็นและถูกต้องในการได้เงินกระสอบนั้นมา
แล้วมันต่างกันตรงไหน? บางคนอาจคิดว่า แบบนี้ไม่เห็นต้องใช้พลังจิตเลย ก็ขยันทำงานไปสิ เดี๋ยวก็รวย แต่ผมว่าไม่แน่ครับ ผมเคยเห็นมามากแล้ว ที่คนขยันจัดๆและฉลาดสุดๆ แต่ยังไงก็ไม่รวย มันมีเหตุให้จนทุกทีสิน่า เราจะรู้ได้ยังไงว่าขยันทำงานแบบนั้นแบบนี้แล้วรวยแน่ ใครจะไปรู้?
วิธีที่คุณทำ ไม่สำคัญเท่าจิตที่คุณใช้ทำหรอกครับ และนั่นคือสิ่งที่บทนี้พูดถึง
สุดท้าย ผมอยากจะบอกกฏการใช้พลังจิตอีกข้อหนึ่งให้คุณ นั่นคือ คุณทำได้แค่เลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบของการเผชิญกรรม แต่ไม่มีพลังจิตชนิดไหนเอาชนะกรรมได้ครับ
สรุป
1.เคล็ดลับและกฏข้อแรกของการใช้พลังจิต คือ FOCUS AND RELAX
2.การโฟกัสต้องโฟกัสทั้งในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
3.การกำหนดเหตุการณ์ในชีวิต เป็นพลังจิตที่สำคัญที่สุด
4.ไม่มีพลังจิตใดชนะกรรมได้ ทำได้เพียงเลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น
เทคนิคสั่งจิตใต้สำนึกนั้นก็มีมากมาย เช่นการสะกดจิตตัวเองซึ่งแตกเทคนิคออกไปอีกเยอะ,การสวด,เพลง,ไปจนถึงเวทย์มนตร์คาถา,รวมถึงการใช้ยา(ซึ่งผมไม่แนะนำให้ใช้เลย) ส่วนเทคนิคที่ผมชอบที่สุด เป็นเทคนิคการสะกดจิตตัวเอง ซึ่งผมจะบอกวิธีที่ผมชอบที่สุดให้คุณสัก2-3วิธี
MIND SCREEN/POSITIVE IMAGINATION
1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
2. ห้ามเกร็ง โดยเฉพาะที่หว่างคิ้วจะเกร็งง่ายมากต้องระวัง หลับตาแล้วกำหนดเห็นภาพในใจ เป็นภาพพื้นที่สีขาวๆ นี่จะทำหน้าที่เป็นจอหนัง
3. บนพื้นที่สีขาว เริ่มกำหนดภาพสิ่งที่เราต้องการให้เกิด เช่นสมมุติเราอยากไปเชียงใหม่ ก็สร้างหนัง "เราอยู่ในเชียงใหม่" โดยควรจะเป็นหนังที่มีรายละเอียดสูงที่สุด(อย่าลืม ห้ามเกร็ง ห้ามขมวดคิ้ว) ตั้งแต่สถานที่ เสียง แสง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตัวประกอบ เห็นคุณกำลังทำสิ่งที่อยากทำให้สมจริงและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. เมื่อฉายหนังจบ เลิกสนใจจอหนัง สนใจร่างกายของคุณแทน เราจะกลับสู่โหมดปกติโดยการจินตนาการถึงพลัง(อาจใช้แสงสีขาว)แล่นผ่านทั่วร่างกาย รู้สึกถึงพละกำลังที่ค่อยๆกลับมา จนทั่วแล้วค่อยๆเคลื่อนไหวจากน้อยๆเช่นกระดิกนิ้ว ขยับมือ แขน ขา แล้วค่อยๆลุกขึ้น (ถ้าเคลื่อนไหวแรงและเร็วเกินไปโดยไม่เป็นขั้นตอนอาจมีปัญหากับปราณและชีพจรได้)
หากคุณไม่ชอบวิธีนี้ ลองอีกวิธีที่ผมเคยใช้ก็ได้ครับ
MANTRA
1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
2. พูดสิ่งที่ต้องการในใจ เช่นเราได้เข้าเรียนในคณะ โดยใช้คำพูดที่ง่ายและเป็นประโยคบอกเล่า ห้ามใช้ประโยคปฏิเสธิหรือประโยคอนาคต
3. ท่องซ้ำๆพร้อมกับผ่อนคลายไปจนกว่าจะหลับ
ทั้งสองวิธีนี้ ให้ทำเป็นประจำไปเรื่อยๆครับ แล้วคุณจะพบว่า มันได้ผล
ตอนนี้คุณได้เรียนรู้วิธีใช้อำนาจจิตทำงานให้เกิดสิ่งที่เราต้องการแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดกว่าพลังจิตชนิดอื่นๆทั้งหมด เพราะอะไรน่ะหรือครับ คุณคิดดูถ้าหากเรามีพลังเยอะแยะ อ่านใจคนได้ รักษาโรคได้ เห็นวิญญาน หรือแม้แต่เหาะได้ แต่เราไม่สามารถจัดการกับชีวิตเราได้ เราก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ขอทานก็มีความทุกข์อย่างขอทานได้ นักธุรกิจก็มีความทุกข์ของเขา ดาราก็มีปัญหาแบบดาราได้ ราชาก็มีความทุกข์ของเขาได้ ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เก่งแค่ไหน ถ้าเราจัดการกับชีวิตไม่ได้ ทุกคนก็แย่พอๆกันนั่นแหละครับ ดังนั้นความสามารถในการดลบันดาลเหตุการณ์ในชีวิต สำคัญกว่าพลังจิตชนิดอื่นทั้งหมด บอกตรงๆถ้าคุณใช้พลังจิตอื่นไม่ได้เลยแต่ใช้พลังจิตpositive imaginationนี้ได้ผมว่าคุณได้ประโยชน์ไปเยอะแล้ว
สำหรับบางคนอาจสงสัย ว่าทำแบบนี้แล้วก็ได้ผลเนี่ยนะ? คำตอบคือ ใช่ครับ แต่การได้ผลมันไม่เหมือนหนังพวกแฮรี่พอตเตอร์หรอกครับ ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเราอยากรวยแล้วพอทำแบบนี้ มันจะมีควันออกมาพรึ่บ! แล้วมีเงินกระสอบนึงออกมาจากควัน...ไม่มีทางสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรานั่นแหละครับที่เปลี่ยน เราจะไปทำสิ่งที่จำเป็นและถูกต้องในการได้เงินกระสอบนั้นมา
แล้วมันต่างกันตรงไหน? บางคนอาจคิดว่า แบบนี้ไม่เห็นต้องใช้พลังจิตเลย ก็ขยันทำงานไปสิ เดี๋ยวก็รวย แต่ผมว่าไม่แน่ครับ ผมเคยเห็นมามากแล้ว ที่คนขยันจัดๆและฉลาดสุดๆ แต่ยังไงก็ไม่รวย มันมีเหตุให้จนทุกทีสิน่า เราจะรู้ได้ยังไงว่าขยันทำงานแบบนั้นแบบนี้แล้วรวยแน่ ใครจะไปรู้?
วิธีที่คุณทำ ไม่สำคัญเท่าจิตที่คุณใช้ทำหรอกครับ และนั่นคือสิ่งที่บทนี้พูดถึง
สุดท้าย ผมอยากจะบอกกฏการใช้พลังจิตอีกข้อหนึ่งให้คุณ นั่นคือ คุณทำได้แค่เลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบของการเผชิญกรรม แต่ไม่มีพลังจิตชนิดไหนเอาชนะกรรมได้ครับ
สรุป
1.เคล็ดลับและกฏข้อแรกของการใช้พลังจิต คือ FOCUS AND RELAX
2.การโฟกัสต้องโฟกัสทั้งในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
3.การกำหนดเหตุการณ์ในชีวิต เป็นพลังจิตที่สำคัญที่สุด
4.ไม่มีพลังจิตใดชนะกรรมได้ ทำได้เพียงเลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น