การสนทนากับมนุษย์ต่างดาว


การสนทนากับมนุษย์ต่างดาว

เรื่องราวของจอร์จ อดัมสกี้ ในโลกนี้ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนมากมายหลายชนชาติ ที่อ้างว่าตนเองติดต่อกับสี่ง มีชีวิตต่างมิติหรือสี่งมีชีวิตนอกโลกได้ อดัมสกี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เรามาดูเรื่องราวของเค้ากันดีกว่าครับ เมื่อวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1952 ที่ Desert center รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา "จอร์จ อดัมสกี้" (George Adamski) ได้รับการติดต่อทาง โทรจิต จากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์นอกโลก ให้มาที่นี่เพื่อพบกับมนุษย์ต่างดาว โดยมีพยานอีก 6 คน ที่ตามอดัมสกี้มาด้วย พยานได้เฝ้าดูอยู่ห่างๆราวๆ 800 เมตร ในวันนั้นมีจานบินขนาดเล็กลงมาจอดพร้อมด้วยมนุษย์ต่างดาว แต่งกายเหมือนชุดสกี ผมยาวปะบ่า สูงราว 150-170 เซนติเมตร หน้าตาเหมือนชาวโลกอายุประมาณ 28 ปีเห็นจะได้ มีใบหน้าสวยงาม ราวกับผู้หญิง ที่สำคัญยังแสดงรอยยี้มถึงความเป็นมิตรต่ออดัมสกี้ด้วย บทความสนทนาของมนุษย์ต่างดาวคนนี้กับอดัมสกี้ ได้ติดต่อกันทางโทรจิต (Telepathy) โดยอดัมสกี้ได้บันทึกเอาไว้เกือบทุกครั้ง

"คุณมาจากดาวดวงไหนเหรอครับ?"
"ดาวศุกร์ครับ"
"มาทำอะไรที่โลกนี้?"
"ผมมาสำรวจเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูของดาวนี้ครับ"
"มันอันตรายมากเหรอ?"
"เป็นอันตรายอย่างยี่งครับ"
"แล้วระเบิดปรมาณูที่ระเบิดที่ ฮิโรชิม่ากับนากาซากิ ในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลออกไปนอกโลกเลยเหรอ?"
"ใช่แล้วครับ"
"คุณขับจานบินลำเล็กนี้มาถึงโลกเลยเหรอ?"
"เปล่าครับ ผมมาด้วยยานอวกาศลำใหญ่ที่เรียกว่ายานแม่ครับ"
"ยานอวกาศพวกคุณใช้พลังอะไรขับเคลื่อน?"
"ขับเคลื่อนด้วยกฏดึงดูดและต่อต้านการดึงดูดครับ"
"เหมือนแม่เหล็ก?"
"ใช่แล้วครับ"
"คุณเชื่อในพระเจ้าไหม?"
"ครับ แต่ต่างจากพวกคุณที่คิดว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเจตนารมณ์ของปัจเจก ในขณะที่พวกเรามีชีวิตอยู่ ตามเจตนารมณ์ของพระผู้สร้างครับ"
"จานบินจะมาเยือนโลกอีกไหม?"
"มาครับ"
"มนุษย์ต่างดาวที่มาบนโลกมาจากไหนบ้าง?"
"ก็จะมีมาจากทั้งดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลเรา จากระบบสุริยะจักรวาลอื่น และจากกาแลคซี่อื่นๆด้วยครับ"
"แล้วเรื่องจานบินที่มาตกในรอสเวลล์เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?"
"จริงครับ จานบินลำนั้นเกิดเครื่องยนต์ขัดข้องครับ"
"ทำไมพวกคุณไม่เปิดเผยตัวแบบเอาจานบินร่อนลงในที่ที่ผู้คนอยู่เยอะๆล่ะ "
"ถ้าผมเปิดเผยมากกว่านี้ ต้องถูกมนุษย์โลกทำร้ายอย่างแน่ แต่คิดว่าเราอาจจะมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในอนาคตครับ"
"ผมขอถ่ายรูปคุณได้ไหม?"
"ไม่ได้ครับ"
"ในจักรวาลนี้ มีสี่งมีชีวิตอาศัยอยู่ตามดวงดาวต่างๆเยอะไหมครับ?"
"มีมากมายครับ อย่างดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลเรา มีสี่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทั้งนั้นครับ"
"มนุษย์ในดวงดาวอื่นๆ รูปร่างเหมือนมนุษย์โลกเหรอครับ?"
"ใช่แล้วครับ"
"แล้วพวกเขาต้องตายเหมือนมนุษย์โลกเช่นกัน?"
"ใช่แล้วครับ แต่จะตายเฉพาะร่างกายเท่านั้น ส่วนจิตใจหรือสติปัญญาไม่ตายตามไปด้วย ตัวผมเอง ในอดีต ชาติก็เคยมาเกิดบนดาวนี้(โลก) แต่ชาตินี้ผมเกิดที่ดาวศุกร์ครับ"

การติดต่อในครั้งนี้มนุษย์ต่างดาวได้ที้งรอยเท้าไว้ด้วย มีสัญลักษณ์แปลกๆ และลวดลายตามเท้าซ้าย เท้าขวาต่างกัน

สามเดือนต่อมา คือในวันที่ 18 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1953 อดัมสกี้ก็ได้รับโทรจิตอีกครั้ง จากผู้ที่อ้าง ว่าเป็นมนุษย์นอกโลกอีก โดยให้เขาไปที่เมืองลอสแองเจลิส อดัมสกี้ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง คืนนั้น ราวๆ 4 ทุ่มกว่าๆ มีชายสองคนเข้ามาหาเข้า คนหนึงสูงราวๆ180 ซม. อายุราวๆ 30 ปี อีกคนเตี้ยกว่าคนแรกนิดหน่อย ราวๆ 175 ซม. หน้าตาเยาว์วัย ชายคนสูงแนะนำว่าตนเอง มาจาก ดาวเสาร์ ส่วนอีกคนมาจากดาวอังคาร เขาพูดออกมาทางปากด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจน อดัมสกี้บอกว่า ถ้าดูภายนอก ไม่อาจรู้เลยว่าสองคนนี้เป็นมนุษย์ต่างดาว ต่อมา..มนุษย์ต่างดาวสองคนนี้พาอดัมสกี้นั่งรถ ไปยังแถบทะเลทรายแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่เคยเจอครั้งแรก เมื่อสามเดือนก่อน จากนั้นมนุษย์ต่างดาว ทั้งสามคนพาอดัมสกี้ที่กำลังงงขึ้นยานบิน และเข้าไปจานบินลำใหญ่ที่เค้าเรียกว่ายานแม่ ซึ่งเป็นยานที่ผลิตในดาวศุกร์ รูปร่างคล้ายมวนซิการ์ อดัมสกี้บอกว่าภายในยานมีเครื่องมือแปลกๆมากมายที่ต่างจากบนโลก แล้วอดัมสกี้ก็ได้พบกับ "ผู้นำที่ยี่งใหญ่"หรือมาสเตอร์ของยานลำนี้ ซึ่งมีอายุเกือบพันปี (ถ้านับตามเวลาดาวโลก) มาสเตอร์ได้บอกอดัมสกี้ว่า

"เพื่อนรัก เราพาเพื่อนมาที่นี่เพื่อให้เพื่อนได้ชม ภายในยานบินของเรา ซึ่งแม้จะไม่ได้เห็นอะไรมากแต่ก็พอไปถ่ายทอด ความรู้ให้เพื่อนร่วมโลกของเพื่อนได้ เมื่อมองออกไปจากยาน เพื่อนคงจะเห็นแล้วสินะว่า นอกบรรยากาศดาวโลกเป็นเช่นไร ในอวกาศเป็นอย่างไร มันเคลื่อนไหวอย่างไม่มีวันหยุดอย่างไร และมันเปี่ยมไปด้วยธาตุทิพย์ ซึ่งให้กำเนิดสรรพสี่งอย่างไรบ้าง ที่นี่ไม่มีจุดเรี่มต้นและจุดสี้นสุด ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีสี่งที่พวกเพื่อน(ชาวโลก) เรียกว่าดาวเคราะห์ดำรงอยู่ เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้แม้มีรูปร่างแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะลักษณะใกล้เคียงกับโลกหรือดวงดาวของพวกเรา มิหนำซ้ำดวงดาวเกือบทั้งหมดนี้ยังมีมนุษย์เช่นเราๆอาศัยอยู่ด้วย แน่นอนว่าดวงดาวบางดวงพัฒนาก้าวหน้าไป มากจนมนุษย์อย่างเราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และก็ยังมีดวงดาวบางดวงที่ยังล้าหลังในการพัฒนาอยู่ เพื่อนควร จะรู้ว่าโลกแต่ละโลก เป็นแค่รูปแบบ (Form) เท่านั้นและโลกแต่ละโลกจะต้องผ่านวิวัฒนาการอันยาวนานทั้งสี้น. … มนุษย์ในดาวดวงอื่นในระบบสุริยะจักรวาลอันนี้ ได้ผ่านวิวัฒนาการในทางสติปัญญามาจนถึง ระดับสูงอย่าง เกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้ วิวัฒนาการอันนี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะพวกเราดำเนินชีวิตตามกฏของธรรมชาติ อย่างเคร่งครัดนั่นเอง ในโลกของพวกเรานั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่พวกเราว่า มนุษย์อย่างพวกเราจะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติตามกฏแห่ง ปัญญาอันยี่งใหญ่ที่ปกครองเวลาและ อวกาศทั้งปวงนี้อยู่แล้วเท่านั้น…. อันที่จริงพวกเราสามารถและเต็มใจที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการท่องอวกาศอย่างป ลอดภัยให้แก่ชาวโลก ถ้าหากชาวโลกสามารถเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างรักในสันติภาพ รักในความเป็นพี่เป็นน้องกับ สี่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้และ ดวงดาวอื่นๆได้เสียก่อน เหตุที่เรายังไม่กล้าถ่ายทอดเทคโนโลยี อันนี้ให้แก่ชาวโลก เพราะพวกเราเกรงว่าถ้าชาวโลกได้เทคโนโลยีอันนี้ไปแล้วก็จะสร้าง ยานอวกาศติดอาวุธไปรุกรานพิชิตดาว ดวงอื่นนั่นเอง…

เพื่อนรัก จุดประสงค์หลักที่พวกเราบินมาเยือนโลกบ่อยในช่วงนี้ ก็เพื่อที่จะมาเตือนชาวโลกให้ตระหนักถึงภัย แห่งวิกฤติครั้งใหญ่ที่กำลังคุกคามชาวโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเรารู้ในหลายๆสี่งมากกว่า ชาวโลกคนใดที่จะรู้ได้ พวกเราจึงคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องมาเตือนชาวโลกเท่าที่ ความสามารถ ของพวกเราจะทำได้ พวกเราพยายามใช้เพื่อนและคนอื่นๆ เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ที่พวกเราต้องการ จะเผยแพร่ไปให้แก่ชาวโลก โดยที่ชาวโลกมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะปิดหูปิดตาตนเอง เพื่อกระทำอัตวินิบาตกรรมรวมหมู่ หรือจะรับคำเตือนจากพวกเราไปปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะสายเกินแก้ นั่นขึ้นอยู่กับการเลือกของชาวโลกเอง พวกเราไม่อาจไปออกคำสั่งต่อชาวโลกได้ เพื่อนคงจำได้ใช่มั้ยว่า ตอนที่เพื่อนได้พบกับกับพวกของเราครั้งแรกนั้น เขาได้บอกกับเพื่อนว่าการระเบิดของระเบิดปรมาณูบนพื้นโลกเป็นเป้าหลักแห่ง ความสนใจในการมาเยือนครั้งนี้ ของพวกเรา นี่แหละคือตัวปัญหาที่พวกเราอยากจะเตือนชาวโลก แม้ว่าเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูในครั้งนั้นจะยังไม่ทำให้รังสีปรมาณูกระจายออ กไปถึงบรรยากาศนอกโลกก็จริง แต่ภัยจากรังสีปรมาณูเหล่านี้ก็กำลังคุกคามชีวิตของชาวโลกด้วยกันเองน่ากล ัวยี่งขึ้นทุกที ตอนนี้รังสีปรมาณูยัง แพร่กระจายออกไปยังไม่ถึงนอกโลก เพราะมันเบากว่าอากาศแต่หนักกว่าอวกาศ แต่เมื่อใดก็ตามที่ชาวโลกก่อสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกและมีการใช้พลังงานป รมาณูนี้เป็นอาวุธในการทำสงคราม เมื่อนั้นประชากรส่วนใหญ่ของชาวโลกก็จะล้มตาย แผ่นดินเพาะปลูกไม่ได้ น้ำกลายเป็นมลพิษ สี่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ อาจดำรงชีวิตอยู่ได้บนผิวโลกเป็นเวลานานปี ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า ผิวโลกอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จนอาจเกิดความเสียสมดุลขึ้นกับระบบ ทางช้างเผือก เพื่อนอาจจะสงสัยว่าถ้าหากเกิดสงครามโลกครั้งที่สามขึ้นมาจริงๆแล้ว พวกเราจะถือว่าเป็นความชอบธรรมหรือไม่ ที่จะเข้ามาหยุดยั้งสงครามของชาวโลก เราขอบอกให้เพื่อนได้รับรู้ จริงๆ แล้ว พวกเรามีพลังงานที่เหนือกว่าและ ทรงพลังกว่าระเบิดปรมาณูของชาวโลกมากมายนัก ถ้าหากเราต้องการจริงๆ การที่พวกเราจะทำให้ พลังงาน ของชาวโลกหมดพลังลงไปนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่พวกเราถือคติว่าพวกเราจะไม่ยินยอมเข่นฆ่าพี่น้องร่วมจักรวาลของเรา แม้ว่าการกระทำอันนั้นจะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองก็ตาม พวกเราเลือกที่จะพยายามยับยั้งสงครามด้วยการเตือนให้ชาวโลกตระหนักถึงความ หมายที่แท้จริงของการกระทำ ของตน และพวกเราจะพยายามต่อไป เนื่องจากเรารู้ดีว่ามนุษย์โลกก่อสงครามก็เพราะความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง…

สำหรับโลกแห่งชีวิตทางจักรวาลของ"พระผู้สร้าง"แล้วชาวโลกยังเป็นเพียงแค่เด็กทารกในสายตาของพระองค์เท่านั้น ชาวโลกและโลกนี้จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายโดยตัวของมันเอง เพียงแต่เพราะขาดปัญญา ขาดความเข้าใจเท่านั้นเอง ขณะที่ในโลกของเรานั้นพวกเราต่างปฏิบัติตามกฏของพระผู้สร้างอย่างเคร่งครัด ส่วนโลกมนุษย์พวกท่านกลับเอาแต่ พูดถึงกฎเหล่านี้เท่านั้นเอง…. ถ้าชาวโลกสามารถรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงเพียงใดกับโลกใบนี้ พวกเขาคงจะต้อง ตระหนกตกใจเป็นแน่ ถ้าเพื่อนถ่ายทอดข่าวสารของพวกเราออกไปทั่วโลก เราเชื่อว่าย่อมมีคนที่รับฟังคำพูดของเพื่อน เพราะคนส่วนใหญ่ก็คงไม่อยากปวดร้าวรันทดจากพิษภัยของสงครามเช่นกัน เราเชื่อว่าชาวโลกก็ต้องการและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่ที่จะมาช่วยพวกเขาได้…

สองเดือนต่อมา ในวันที่ 21 เดือนเมษายน ปี ค.ศ.1953 อดัมสกี้ได้รับโทรจิตจากผู้ที่อ้างว่า มาจากนอกโลกอีกครั้ง ทำให้เขาต้องเดินทางไปเมืองลอสแองเจลิสอีกครั้ง คราวนี้เขาได้พบกับมนุษย์ดาวอังคารคนเดียวเท่านั้น ในระหว่าง ที่รับประทานอาหารด้วยกัน ที่ร้านอาหารแห่งนึง มนุษย์จากดาวอังคารพูดถึงเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ว่า

"คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้จักอารมณ์ความรู้สึกในเชิงทำลายที่มีอยู่ในใจของ ตัวเองอย่างแท้จริงเท่าไหร่นัก เพราะแม้ แต่คนที่ภูมิใจกับความเป็นคนเยือกเย็นของตัวเอง บางครั้งก็สามารถที่จะระเบิด อารมณ์ของตัวเองออกมาได้ง่ายๆ ด้วยสาเหตุเล็กๆที่บังเอิญไปสะกิดถูกที่เท่านั้นเอง และร้ายยี่งกว่านั้นคือมนุษย์กล้ารุกรานล่วงเกินคนอื่นได้ โดยอ้างว่าเป็น การป้องกันตนเอง ในกรณีที่มีการต่อสู้หรือทำสงครามกัน สภาพเช่นนี้มิใช่สี่งใดอื่นหรอก นอกจากเป็นสภาพที่เสียสมดุลของอารมณ์ที่มีความรู้สึกรุนแรงอย่างขาดความยั้งคิด แต่ขอเพียงคนเราเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเรื่องนี้สักครั้งหนึ่งได้แล้ ว มนุษย์ย่อมสามารถควบคุมหรือเลิกความเคยชินที่ไม่ดีเช่นนี้ได้ ชาวโลกในปัจจุบันเป็นทาสของนิสัย เป็นทาสของความเคยชินของตัวเอง พวกเขาจึงลืมความเป็นเทพเจ้าหรือความเป็น พุทธะที่ดำรงอยู่ในตัวเองเสียจนหมดสี้น จิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเขาเองกลับถูกปิดกั้นไม่ให้เผยตัวออกมา แต่แม้กระนั้นพวกเขาทุกคนต่างก็มีความปรารถนาแฝงอยู่ลึกๆ ที่จะเผยความเป็นพุทธะของตัวเองออกมาและความปรารถนาอันนี้แหละที่จะมาสั่น คลอนขั้นรากเหง้าเกี่ยวกับความ เป็นตัวตนของพวกเขาที่ถูกจองจำด้วยความเคยชิน มนุษย์โลกจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามเงี่ยหูฟังเสียงแห่งปัญญา"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยานลึกลับใกล้ดวงอาทิตย์ 2

อาวุธพลังจิตในรัสเซีย

การตอบกลับของมนุษย์ต่างดาว