อาวุธแห่งการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์
ความเลวของมนุษย์
โครงการ Project Biue Beam อาวุธควบคุมธรรมชาติ Haarp
หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป พร้อมกับได้คร่าชีวิตผู้คนบนโลกไปถึงกว่า 200,000 ชีวิต หลายฝ่ายได้ตั้งคำถามกันว่า อะไรกันแน่คือสาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้ บ้างเชื่อว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เท่านั้น บ้างก็ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นผลจากการที่มนุษย์ได้ตักตวงทรัพยากรและทำลายธรรมชาติ ไปอย่างมากมายมหาศาลเป็นเวลาช้านาน จนโลกขาดสมดุล นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกกลุ่มที่แม้จะเห็นด้วยว่า การทำลายสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยสารพิษที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อนนั้น เป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่สภาพดินฟ้าอากาศวิปริตทั่วโลก แต่ทว่าไม่พอเพียงที่จะใช้อธิบาย ปรากฏการณ์พิศดารทางธรรมชาติต่างๆที่ เกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงไม่นานมานี้ พวกเขาเชื่อว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ทราบแหล่งที่มา ที่ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว คือสาเหตุที่แท้จริงของความวิปริตทั้งปวง ทั้งนี้ ฝ่ายหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้มีที่มาจากการระเบิดในอวกาศที่ห่างไกล ของดาวที่เรียกว่าซูปเปอร์โนว่า แต่อีกฝ่ายเชื่อว่า เกิดจากอาวุธใหม่ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น พวกเขาเหล่านี้มีหลักฐานอะไร
ยุคแห่งวิปริตทางธรรมชาติ
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง องค์กรสหประชาชาติได้จัดการประชุมขึ้น ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ รายงานของที่ประชุมดังกล่าวระบุว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประชากร โลกกว่า 2.5 พันล้านคนต้องประสพกับภัยภิบัติทางธรรมชาติ เป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงทศวรรษก่อนถึง 60% และในจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย กว่าครึ่งเกิดจากอุทกภัยและแผ่นดินไหว ไม่เพียงแต่แนวโน้มการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นในระยะยาวเท่านั้น แต่ทว่าเป็นที่น่าประหลาดว่าในปี 2547 จำนวนภัยภิบัติทางธรรมชาติดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนและความรุนแรงขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งนี้บริษัทมิวนิก รี บรรษัทธุรกิจประกันภัยเสริม (reinsurance)รายใหญ่ที่สุดของโลกระบุในรายงานชื่อ "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ประจำปี 2547 ว่าเป็นปีหายนะของธุรกิจประกันภัยทั่วโลก จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งปีกว่า 560 ครั้ง ทางบริษัทประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากภัยพิบัติในปีที่แล้ว ว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า5ล้านล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม มูลค่าที่สูญเสียนี้มากกว่าความสูญเสียที่เกิดในปี 2546 กว่าถึงหนึ่งเท่าตัว ยิ่งไปกว่านี้ ตลอดหนึ่งปีมา มิได้มีแต่กรณีการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นเป็นครั้งแรกในมหาสมุทรอินเดียเท่านั้น ที่เป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางธรรมชาติ ทว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นๆเกิดขึ้นอีกมากมาย อาทิเช่น วันที่ 1 ธันวาคม 2547 เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ทราบแหล่งที่มา วัดความรุนแรงได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ยังผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กล่าวคือ ทำให้พื้นที่กว่า220,000 ตารางกิโลเมตร ในประเทศจีนถูกหมอกหนาปกคลุมในวันถัดมา จนทำให้การคมนาคมแทบทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง และยังเกิดเหตุการณ์หมอกหนาจัดปกคลุมพื้นที่มหาศาลขึ้นอีก 2 ครั้งในวันที่ 14 และ 21 เดือนเดียวกันในประเทศจีนและอินเดียตอนเหนืออีก ด้วย ผลของพลังงานแม่เหล็กอันไม่ทราบที่มานี้ ยังส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์พิศดารอื่นๆอีกทั่วซีกโลกเหนือ เช่น เกิดลมพายุที่มีความรุนแรงเทียบเท่าพายุเฮอรีเคนในผรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ แคนาดา รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
ธรรมชาติวิปริตเกิดจากทฤษฎีโลกร้อนจริงหรือ?
ผู้คนทั่วไปมักเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า ความผิดปกติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มีต้นตอมาจากการเผาผลาญพลังงานฟอสซิล และทำให้เกิดกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบกับการปล่อยสารซีเอฟซีที่ทำลายชั้นโอโซน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก จนอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าคำอธิบายข้างต้นหาได้เป็นที่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ในวงการวิทยาศาสตร์ไม่ ตรงกันข้ามยังมีการโต้แย้งกัน ถึงข้อบกพร่องในทฤษฎีเรือนกระจกและทฤษฏีโลกร้อน ตลอดมา ทฤษฎีเรือนกระจกนั้น ข้อบกพร่องอยู่ที่ เหตุใดรูโหว่ในชั้นบรรยากาศโลก จึงไม่เกิดขึ้นเหนือพื้นที่ที่มีสถิติการปล่อยสารซีเอฟซี เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น เหนือเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมต่างๆ แต่กลับไปเกิดขึ้นยังบริเวณขั้วโลกทั้งสองด้าน ทั้งนี้ ทีมวิจัยของอังกฤษ ได้รายงานเมื่อปลายปีที่แล้วว่า ชั้นโอโซนในบริเวณขั้วโลกใต้ มีปริมาณโอโซนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 10% ในส่วนของทฤษฎีโลกร้อนนั้น ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ที่บริเวณผิวพื้นโลกและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ในชั้นบรรยากาศระดับล่างและกลาง ในช่วง 20 ปีมานี้ พิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ผิดพลาด เนื่องจากพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ อุณหภูมิที่ผิวพื้นโลกสูงขึ้นจริง แต่อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากทฤษฎีโลกร้อนถูกต้องแล้ว อุณหภูมิทั้งสองบริเวณนี้จะต้องสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ทราบที่มา:กุญแจไขปริศนา?
นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (รังสีแกมม่า) นี้ได้ในบริเวณขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 5 ปีมาแล้ว และหลังจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ได้พบว่าปริมาณคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก ได้เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนความถี่และความรุนแรง ท้องฟ้าในบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปกติมืดมิดตลอดเวลาในช่วงฤดูหนาว ปัจจุบันกลับมีแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นประจำ "ขอบฟ้าถูกยกสูงเหมือนกับชูขึ้นด้วยมือของพระเป็นเจ้า" นายเดวิดสันกล่าว เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแคนาดา ซึ่งประจำการอยู่ที่สถานีตรวจสอบอากาศเมืองเรซาลูด เบย์ ทวีปอาร์คติก นักวิทยาศาสตร์หลายฝ่ายเชื่อว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลึกลับนี้ คือต้นเหตุของความวิปริตทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีงานวิจัยของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐที่พบว่า อิทธิพลรังสีแกมม่าสามารถทำให้เกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน โลกเย็นลง ฝนกรดและการเกิดเมฆหมอกได้ ผลของงานวิจัยนี้ได้ถูกยืนยันอีกครั้ง โดยการค้นพบของทีมนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน จากสภาบันนิวเคลียร์ฟิสิกส์แมกส์ แพลงค์ สถาบันเลื่องชี่อของโลกในปี 2545 ไม่เพียงแต่รังสีแกมม่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทาง ภูมิอากาศเท่านั้น แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นพลังงานแม่เหล็กจึงส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก และอาจสามารถกระตุ้น ให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้อีกด้วย ผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์ ประจำสภาบันภูมิฟิสิกส์ประเทศจอร์เจีย จากการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบเป็นเวลา 30 ปี จากปี 2501 - 2531 สรุปว่าปฏิกิริยาระหว่างโลกกับสนามพลังงานแม่เหล็ก เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงกว่า 6 ริกเตอร์ขึ้นไปในส่วนของจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในปีที่แล้วก็ เช่นกัน แม้จะยังไม่มีผลงานวิจัยในด้านนี้อยู่เลยก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกหลายคนก็เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้ที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้น คลื่นพลังงานแม่เหล็กเหล่านี้มาจากไหน? ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงที่มาของคลื่นพลังงานแม่เหล็กลึกลับ ซึ่งยังคงสร้างความวิปริตทางธรรมชาติทั่วโลกในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้ น่าจะมาจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา หรือดาวฤกษ์ที่กำลังจะดับสูญชื่อ SN1987a เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างจากโลก 12,000 ล้านปีแสงเมื่อปี2530 การระเบิดครั้งนั้นถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในจักรวาล เป็นอันดับสองรองจากการระเบิด ที่เรียกว่าบิ้กแบงในปี2540 "การระเบิดของดาว SN1987a ปลดปล่อยพลังงานอภิมหาศาลในหนึ่งวินาที เทียบได้กับพลังงานของดาวฤกษ์ทั้งหมดในจักรวาลรวมกัน" สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงาน ทั้งนี้คาดว่า โลกจะสามารถแลเห็นการระเบิดนี้ได้ก่อนปี2553 ทั้งนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่ง ที่เชื่อว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปริศนานี้ มีที่มาจากในโลกนี้เองและเกิดจากการกระทำของมนุษย์ หลายฝ่ายชี้ชัดมายังอาวุธในโครงการของกองทัพสหรัฐที่มีชื่อว่าฮาร์พ (High Frequency Active Auroral Reseach Program) หรือ HAARP ฮาร์พเป็นส่วนสำคัญ ในยุทธศาสตร์การริเริ่มป้องกันทารทหาร ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการสตาร์วอร์ ฮาร์พถูกริเริ่มขึ้น ในยุคของประธานาธิบดีเรแกน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อศึกษา "การใช้ไอโอโนสเฟีย (ชั้นบรรยากาศระดับสูง) เพื่อเป้าหมายของกระทรวงกลาโหม" นายอีสแมน เจ้าของลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการนี้ กล่าวถึงฮาร์พว่า "สามารถรบกวนระบบโทรคมนาคมทั้งหมดในพื้นที่ขนาดใหญ่มากบนโลก... เบี่ยงเบนทิศทางหรือทำลายจรวดและเครื่องบิน... ปรับเปลี่ยนภูมิอากาศ..." ดอกเตอร์เมกิช นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งที่ติดตามโครงการฮาร์พ อธิบายถึงการทำงานของ อาวุธนี้ว่า ฮาร์พ "อาศัยเทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุพลังมหาศาล เพื่อยกบริเวณชั้นบรรยากาศส่วนบน (ไอโอโนสเฟีย) ของโลกขึ้น โดยเล็งพลังงานไปยังพื้นที่บนชั้นบรรยากาศและเผาบริเวณนั้นจนร้อน( หลอมละลายจนกลายเป็นเสมือนจานพลาสม่าขนาดยักษ์ ที่สามารถรับส่งคลื่นได้) จากนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะสะท้อนกลับมายังโลกและทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี หลักฐานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความเลวร้ายที่พวกคนเหล่านั้นได้ทำลง
อะไรที่ชี้ว่าเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศมีจริง
หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด อยู่ที่การยอมรับเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศ ของบุคคลสำคัญ สถาบันและองค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ อาทิเช่น เอกสารชื่อ "กองทัพอากาศสหรัฐ 2025" ที่ประกาศใช้ในปี 2539 ได้ระบุเป้าหมายในอนาคตของกองทัพอากาศสหรัฐว่า "การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศ จะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคง ทั้งในและระหว่างประเทศและสามารถกระทำได้แบบเอกภาคี... มันเป็นไปได้ทั้งเชิงการรุกและรับหรือกระทั่งในการข่มขู่ศัตรู... ความสามารถในการทำฝน หมอกและพายุหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก... และการสร้างดินฟ้าอากาศต่างๆ นี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีแบบบูรณาการ ซึ่งสร้างเสริมศักยภาพให้กับสหรัฐหรือลดทอนศักยภาพของศัตรู... " จริงอยู่ที่ข้อความข้างต้นนี้เป็นเพียงเป้าในอนาคต แต่ก็หมายถึงว่า ก่อนหน้าการประกาศ สหรัฐได้ทำเริ่มลงทุนพัฒนาและ ทดลองเทคโนโลยีการควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นประจำมาเป็นเวลาช้านาน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าสามารบรรลุภาระกิจที่ตั้งไว้ได้ ปี 2539 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานคำพูดของนายวิเลียม โคเฮน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่กล่าวถึงการก่อการร้าย ณ มหาวิทยาลัยจอร์เจีย ตอนหนึ่งมีใจความว่า "การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมีและเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ ในชั้นโอโซน หรือกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้"เป็นไปได้หรือที่กลุ่มผู้ก่อการร้าย จะสามารถค้นคิดอาวุธร้ายแรงเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ? เพราะตลอดมาพวกเขามีศักยภาพเพียงการลอกเลียน และประยุกต์อาวุธขึ้นจากเทคโนโลยี ที่มีบรรดาประเทศมหาอำนาจ ได้ค้นคิดพัฒนาและใช้การได้จริงแล้วทั้งสิ้น ปี2544 วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอนาย เดนิส คูชินิชได้ เสนอร่างกฎหมายเลขที่ HR2977 ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธในอวกาศ ตอนหนึ่งของร่างนี้กล่าวถึง "อาวุธทางภูมิอากาศหรืออาวุธทางรอยเลื่อนของชั้นแผ่นดิน" เป็นไปได้หรือ ที่ผู้ที่เป็นถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐ จะกล้าเสนอกฎหมายนี้หากปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธเหล่านี้ นอกจากบุกคลสำคัญและองค์กรของสหรัฐเองจะกล่าวถึงการพัฒนาและทดลอง อาวุธที่เปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศแล้ว บุคคลสำคัญและ องค์กรในระดับโลกต่างๆก็ได้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อาวุธนี้ด้วย ที่ประชุมใหญ่องค์กรสหประชาชาติประจำปี 2540 ได้มีการลงนามในอนุสัญญา "การห้ามใช้เทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน ที่สร้างผลกระทบที่กว้างขวาง ยาวนานและรุนแรง" ทั้งนี้นิยามของ "เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ" หมายถึง " เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบ โครงสร้างของโลกรวมถึง ชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ" หลักฐานที่ชี้ถึงแสนยานุภาพของฮาร์พ ในปี 2546 สมาชิกของคณะกรรมาธิการถึงสี่คณะ ของสภาสูงสุดรัสเซียหรือสภาดูม่า และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 ท่าน ได้ร่วมกันลงชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดีเมีย ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์กรทางวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงและสื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติห้ามสหรัฐทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้ ในรายงานนี้ปรากฏข้อความดังนี้ "ภายใต้โครงการฮาร์พ สหรัฐกำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ซึ่งอาจสามารถส่งอิทธิพล ต่อชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง""แสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลง จากอาวุธมีคมสู่อาวุธปืน หรือจากอาวุธธรรมดาสู่อาวุธนิวเคลียร์" รายงานนี้ยังระบุอีกว่าสหรัฐกำลังสร้างอาวุธฮาร์พนี้ในพื้นที่สามแห่ง แห่งแรกที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห่งที่สองที่กรีนแลนด์และที่สามในประเทศนอร์เว ทั้งนี้สหรัฐเตรียมที่จะเริ่มทดลองอย่างเต็มที่ ได้ตั้งแต่ต้นปี 2546 "เมื่ออุปกรณ์ทั้งหมดได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศจาก อลาสก้า นอร์เวและกรีนแลนด์ ความแม่นยำ ในการกำหนดเป้าหมายพร้อมกับอานุภาพอันมหัศจรรย์ จะนำไปสู่ความสามารถอันแท้จริงในควบคุมชั้นบรรยากาศใกล้โลก" รายงานของสภาดูม่าสรุปก่อนหน้านี้ในปี 2541 คณะกรรมมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงและ นโยบายการทางทหาร ก็ได้เคยร้องเรียนต่อรัฐสภาสหภาพยุโรป จากกรณีที่สหรัฐปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ในการเปิดเผยข้อมูลและอนุญาตให้ องค์กรอิสระนานาชาติ เข้าไปตรวจสอบโครงการฮาร์พ อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐสภายุโรปร่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากกิจกรรมทางการทหารอีกด้วยทั้งนี้ สหรัฐประกาศว่า ปัจจุบันโครงการฮาร์พกำลังอยู่ ในชั้นตอนสุดท้ายของการขยายกำลังส่ง และคาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ให้ใช้การได้เต็มที่ในราวปี 2549 (ปัจจุบัน แน่นอนคงใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว) สรุป ในวันนี้คงไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะพยายามติดตามค้นหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุของวิปริตทางธรรมชาติ ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของธรรมชาติ หรือฝั่งที่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์ ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า มวลมนุษยชาติกำลังจะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงในอนาคตอันใกล้นี้ แต่แน่นอนการคาดการณ์ของพวกเขาอาจะผิดก็ได้ สิ่งที่สังคมไทยน่าจะพิจารณาก็คือ ในอนาคตอันใกล้นี้ มีความเป็นไปได้ที่สังคมไทยจะต้องเผชิญกับมหันตภัยทางธรรมชาติต่างๆ ที่รุนแรงและใหญ่หลวงเสียยิ่งกว่า คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ โอกาสที่ประชาชนคนไทยจะต่อสู้จนได้รัฐบาลที่ดี พอที่เรียกได้ว่าพวกเขาคือตัวแทนของพวกเรานั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย และต่อให้ความฝันนี้เป็นจริง พวกเขาก็มิอาจปกป้องช่วยเหลือพวกเราจากภัยพิบัติต่างๆเหล่านี้ได้เลย ฉะนั้นวันนี้ การคิดแต่เพียงการต่อสู้ ทางการเมืองจึงไม่เพียงพอเสียแล้ว เพื่อไม่ประมาท เราควรต้องเริ่มคิดอ่านเตรียมการ เพื่อความอยู่รอดของพวกเรากันเองด้วย